หากพูดถึงธุรกิจ e-commerce รายชื่อที่คิดถึงเป็นอันดับแรกๆก็คงไม่พ้นบริษัทใหญ่ๆเช่น shopee และ lazada ที่เป็นสเหมื่อนคู่แข่งกันมาตลอด โดยบริษัททั้งสองนี้จะมีบริการที่ครบวงจรตั้งแต่เราเข้าไปที่เว็บไซต์ไปจนถึงสินค้าหรือพัสดุถูกส่งไปถึงบ้านของคุณ รวมทั้งยังมีบริการหลังการขายที่จะทำให้คุณสามารถส่งคืนสิ่งของเมื่อสินค้ามีความผิดพลาดได้อีก ด้วยบริการและสินค้าที่มีความหลากหลายมากมาย แถมยังมีโปรโมชั่นลดราคาทุกๆเดือนให้ลูกค้านี้ ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าบริษัททั้งสองนั้นผู้คนต่างเลือกใช้งานกัน ทำให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเริ่มที่จะกลัวและในบางท่านก็อาจจะปิดตัวธุรกิจลงไป
หรือในบางธุรกิจที่ยังสู้และแข่งขันอยู่ต่อนั้นวันนี้ผมก็อยากมาบอกเล่าถึงกลยุทธ์และเทคนิคดีๆที่จะช่วยให้การทำธุรกิจ E-commerce ของคุณนั้นสามารถแข่งขันกับรายใหญ่อย่าง shopee และ lazada ได้ คิดดูสิหากธุรกิจของคุณมีอันดับ SERP คำค้นหาที่เหนือกว่าธุรกิจรายใหญ่เหล่านี้ ยอดการสั่งซื้อจะเยอะมากมายแค่ไหน แต่ก่อนที่จะนึกไปถึงจุดนั้นเรามาดูกลยุทธ์เหล่านั้นกันเลย
การแข่งขัน SEO เพื่อชิงตำแหน่ง
สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กนั้นคงไม่มีเงินถุงเงินถังมากพอที่จะใช้ยิง google ads ไปได้ตลอด ทำให้การคำนึงถึงการทำ SEO นั้นเป็นสิ่งแรกที่ควรทำและลงมือเลย หากไม่มีความเชี่ยวชาญก็ควรศึกษา หรือไม่ก็จ้างนักทำ SEO specialist เพื่อมาคอยดูแลและจัดทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นและให้ติดอันดับใน Google Search ให้ได้
เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถต่อกรกับบริษัทยักใหญ่ในทุกๆ Keyword ได้ แต่เราก็สามารถเลือกที่จะโฟกัสไปที่ Keyword สินค้าหลักของธุรกิจเราและทำมันให้ติดอันดับเหนือ shopee และ lazada ได้!
การวางแผนสำหรับทำ SEO
เริ่มแรกในสิ่งคุณควรทำเลยคือการที่หากคุณคิดว่าการแข่งขันกับบริษัทรายใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้นั้นให้เลิกคิดไปเลย แล้วมาเริ่มต้นด้วยการจัดการและการวางแผนสำหรับการทำ SEO โดยจะไล่ตั้งแต่กระบวนการแรกไปจนถึงกระบวนการสุดท้าย โดยทั้งหมดจะมีอยู่ 5 กระบวนการด้วยกัน ได้แก่
1.วิเคราะห์ Keyword ที่จะจัดทำ
- เลือก Keyword ให้ตรงกับธุรกิจ : สิ่งสำคัญในการเลือก Keyword นั้น ต้องคำนึงถึงธุรกิจของคุณว่าหากทำ SEO ให้กับ Keyword นั้นไปแล้วจะช่วยให้ธุรกิจได้รับความสนใจและเพิ่มยอดขายหรือยอดการใช้บริการได้มากขึ้นจริงๆ รวมทั้งการทำ SEO เป็นเรื่องของความอดทน เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการทำที่นานหลายเดือน ในบางกรณีอาจยาวไปถึงหลักปีถึงจะเห็นผลก็มี เพราะฉะนั้นหากเลือกทำ Keywordที่ไม่ตรงตามความต้องการจะส่งผลให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก
- บีบคำเหล่านั้นให้แคบลง : เมื่อได้ Keyword ที่ต้องการมาแล้ว สิ่งต่อมาคือการบีบคำเหล่านั้นให้ความแคบลงและหลากหลายมากขึ้น ยกตัวอย่างหาก Keyword ที่คุณต้องการเป็นคำว่า “โทรศัพท์มือถือ” ก็ควรบีบให้แคบลงเป็น โทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ หรือยี่ห้อต่างๆ เพื่อที่ง่ายต่อการทำ SEO และเมื่อหน้าเว็บของ Keyword เหล่านี้มีคะแนนที่ดีก็ยังส่งผลโดยตรงให้แก่ Keyword “โทรศัพท์มือถือ” นั้นมีอันดับที่ดีขึ้น โดยเครื่องมือที่นำมาใช้ตรวจสอบและวางแผนสำหรับการทำ Keyword นั้นส่วนมากก็จะเป็ฯ Ahrefs, Uber Suggest และ Google keyword planner เป็นต้น
2.จัดทำ On-page SEO
On-page SEO หรือที่ถูกเรียกกันว่า on-site SEO เป็นกระบวนการทำเพิ่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าเว็บ ตั้งแต่การจัดทำเนื้อหา, Title Tag, Meta description, URLที่เหมาะสม ,หัวข้อหลัก หัวข้อย่อย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะช่วยส่งเสริมให้คะแนนในการทำ SEO ทั้งนั้นไม่ควรละเลย และนอกจากนี้ยังต้องคอยตรวจเช็คข้อมูลต่างๆของหน้าเว็บนั้นๆเช่น จำนวนเวลาที่ผู้คนเข้าอยู่ในหน้าเว็บนั้น จำนวนการเข้าถึงหรือการคลิ๊กเข้าเว็บไซต์ และอื่นๆ เพื่อที่จะทำการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
3.จัดทำ Off-page SEO
แน่นอนว่าหลังจากจัดทำ On-page SEO ให้เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งต่อมาที่จต้องทำก็คือการทำในด้านของ Off page ที่มีความสำคัญพอๆกัน สิ่งนี้จะช่วยดึงดูดผู้คนให้เข้าเว็บไซต์มากยิ่งขึ้นและยังส่งผลต่อคะแนนในการจัดอันดับของ Google Search อีกด้วย
แต่ว่าการทำ Off-page SEO ที่คนส่วนใหญ่มักพลาดกันจึงอยากขอเตือนเอาไว้ คือการเน้นทำ Backlink ไปที่จำนวน โดยคิดว่ายิ่งเยอะยิ่งดี แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะการที่มี Backlink จากเว็บคุณภาพต่ำๆนับสิบนั้น เที่ยบไม่ได้เลยกับมี Backlink สักตัวจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพสูง
4.ออกแบบ พัฒนาโครงสร้างของเว็บไซต์
การพัฒนาโครงสร้างของเว็บไซต์ไมไ่ด้จำกัดอยู่ที่การจัดทำหน้าเว็บและการเพิ่มความสวยงาม หากแต่ตัวเว็บไซต์ต้องมีโครงสร้างที่สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายเช่น มีเครื่องมือที่เชื่อมเว็บไซต์กับ Social, หน้าสินค้าสามารถสั่งซื้อได้ผ่านบัตรเครดิต, มีระบบ login และ User ที่ปลอดภัย รวมไปถึงโครงสร้างของเว็บต้องใช้งานได้สะดวกทั้งบน PC และ มือถือ
5.เนื้อหา (Content)
ในส่วนเรื่องของ content นั้นนับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ในหัวข้ออื่นเลยก็ว่าได้ เพราะถึงแม้ตัวเว็บไซต์จะทำออกได้ดีเพียงใด แต่หากเนื้อหาที่ถูกเขียนลงไปนั้นห่วย หรือไม่สอดคล้องกับสินค้า และ keyword ที่ต้องการ ก็ทำให้ไม่มีใครเข้ามาดูและคะแนน SEO ของคุณไม่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นหลังจากที่คุณได้ทำตามหัวข้อทั้ง 4ข้อ ที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็อย่าหลงลืมนึกถึงการจัดทำเนื้อหาให้มีคุณภาพด้วย
ทำในสิ่งที่ Shopee และ Lazada ทำไม่ได้
เอาล่ะ หลังจากที่ได้เริ่มทำ SEO ตามกระบวนการที่ผมได้แนะนำไปแล้ว ยังมีคำแนะนำดีๆและทริคอื่นๆอีกมากที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถชนะทั้ง Shopee และ Lazada ได้
ต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจของคุณไม่มีทางสต็อกสินค้า (stock) จำนวนมากได้เท่ากับธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ควรเน้นไปที่สินค้าที่หลากหลาย แต่ควรเน้นไปที่สินค้าเพียงไม่กี่ชนิด และมุ่งเน้นไปในการขายสินค้านั้น รวมไปถึงการทำ SEO เฉพาะ Keyword นั้นๆ สิ่งนี้จะทำให้ธุรกจิขนาดเล็กมีกำลังมากพอที่จะสู้กับพวก Shopee ได้
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเอาชนะธุรกิจขนาดใหญ่อีกเรื่อง คือสิ่งใดที่ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือธุรกิจของคุณนั้นสามารถทำได้ แต่ธุรกิจขนาดใหญ่อย่างพวก Shopee นั้นทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น
- การบริการหลังการขาย : สามารถทำได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าทั้ง shopee และ lazada ต่างก็มีบริการคืนเงินให้หากสินค้ามีปัญหา แต่ก็เต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆมากมายทั้งยังต้องใช้ระยะเวลาในการคืนเงินอีก นี่จึงเป็นช่องว่างให้เรามีระบบดูแลหลังการขายที่รวดเร็วและดีกว่า ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกดีและปลอดภัยมากกว่าเมื่อซื้อสินค้าจากคุณ
- การจัดส่ง : เป็นอีกข้อเสียของธุรกิจรายใหญ่อย่างพวก shopee และ lazada เนื่องจากผู้ที่ไปฝากขายสินค้าต่างๆในธุรกิจเหล่านี้นั้นมีความแตกต่างกัน ทำให้บางครั้งสินค้าที่ทำการจัดส่งก็มีระยะเวลานานรวมถึงตัวสินค้าบ่อยครั้งก็เกิดความเสียหายจากการที่ห่อหุ้มพัสดุไว้ไม่ดีหรือไม่ตรงตามมาตรฐาน ด้วยเหตุนี้หากธุรกิจของคุณมีการห่อหุ้มสินค้าที่ดีกว่า และมีบริการขนส่งที่รวดเร็วมากกว่า ก็ย่อมสร้างชื่อเสียงให้กับธุรกิจและยังทำให้ลูกค้ารู้สึกดีมากกว่า
- การสื่อสาร : เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางโดดเด่นกว่า เนื่องจากเราสามารถพูดคุย แนะนำสินค้าให้กับลูกค้าหรือผู้สนใจสินค้าของเราได้โดยตรง และยิ่งหากมีบริการปรึกษาหรือให้ข้อมูลตลอดเวลาก็จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี ต่างจาก shopee และ lazada ที่พ่อค้าแม่ค้าที่นำสินค้าไปลงนั้นเป็นผู้ตอบแชท และหลายครั้งก็มีการตอบที่ล่าช้าหรือไม่ตอบเลย ส่งผลให้ผู้สนใจสินค้าไม่เลือกที่จะซื้อนั่นเอง
- โปรโมชั่นเฉพาะสินค้า : เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขาย และช่วยให้ผู้สนใจสินค้าตกลงเลือกซื้อสินค้าจากธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าสิ่งนี้ทาง shopee และ lazada ก็มีโปรส่วนลดอยู่ทุกๆเดือน แต่ว่าส่วนลดเหล่านั้นมักมีข้อจำกัด และเงื่อนไขที่ยุ่งยาก รวมทั้งหลายๆครั้งก็ถูกจำกัดให้ส่วนลดเหล่านั้นใช้ได้กับสินค้าเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
- จัดทำคอนเท้นแบบเจาะจงได้ : ด้วยความที่ธุรกิจของเรามีขนาดที่เล็กทำให้มีสินค้าเป็นหมวดหมู่เพียงไม่กี่ชนิด ทำให้การจัดทำคอนเท้นหรือเนื้อหานั้นจะเป็นไปอย่างเจาะจงสินค้าที่เรามี ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องของการทำ SEO แล้วยังช่วยดึงดูดผู้สนใจในสินค้าได้เป็นอย่างดี
สรุป
ถึงแม้ว่าการเอาชนะคู่แข่งอย่าง Shopee และ Lazada จะดูเหมื่อนเป็นไปได้ยาก แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าถึงแม้สินค้าที่มีอยู่ในธุรกิจเหล่านี้นั้นมีจำนวนมาก และมักมีราคาถูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่มีข้อเสียเลย เพียงแต่เราต้องมองให้ออกว่าข้อเสียเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และนำมันมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณให้เหนือกว่า
นอกจากนี้หากต้องการให้ธุรกิจอยู่เหนือคู่แข่งอย่างพวก shopee นั้นจำเป็นแต่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ และความอดทนในด้านการทำ SEO สูง ทำให้หากยังไม่มีความรู้ในด้านนี้มากพอผมแนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมเสียก่อน หรืออีกทางเลือกก็คือการว่าจ้าง seo specialist เข้ามาช่วยจัดการแทนก็ได้