หลายคนคงตื่นเต้นกับการมาของ Google SGE ด้วยการเปิดตัวครั้งแรกที่งาน Google I/O 2023 กันอย่างมากครับ เช่นเดียวกับผมที่ทราบข่าวครั้งแรก ก็ร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนกัน แอบคิดว่ามันจะมาทำให้ผมตกงานกันเลยทีเดียว
ผมจึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ Google SGE และก็พบว่า เห้ย ! มันยังไม่ถึงขนาดนั้นนะ เพราะถ้าเราเข้าใจจริง ๆ “ SGE (Search Generative Experience) ” มันก็ยังเป็นเพียงเครื่องมืออย่างนึงเท่านั้น (ในตอนนี้ แต่อนาคต … ไม่รู้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า) อยากให้ตามมาดูกันครับ ว่าทำไมผมถึงคิดแบบนี้ ยาวแน่ ขอเตือนไว้ก่อน
Google SGE คืออะไร
Google SGE ย่อมาจาก Search Generative Experience เป็นเทคโนโลยี AI ใหม่จาก Google Search ที่กำลังพัฒนา เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้สะดวกรวดเร็ว และตรงประเด็นมากขึ้น ด้วยการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ Google เรียกว่า PaLM2 ร่วมกับ MUM สำหรับทำความเข้าใจคำถามหรือคำสั่ง และจึงสร้างคำตอบที่ผ่านการวิเคราะห์จากข้อมูลบนเว็บไซต์ รูปภาพ วิดีโอ เอกสาร และอีกมากมายบนโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้างคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ
ปัจจุบัน SGE ยังมีสถานะอยู่ในขั้นทดลองบนระบบ Search Labs ครับ ผู้ใช้จะต้องเปิดใช้งานเอง และยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้น แต่ผมเชื่อว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า Google จะเริ่มปล่อยให้ประเทศอื่น ๆ ได้ลองทดสอบ รวมถึงประเทศไทยด้วย
ไทม์ไลน์ของ Google SGE
- พฤษภาคม 2023 ประกาศเปิดตัว Google SGE ในงาน I/O 2023 เป็นครั้งแรก และเริ่มเปิดให้ผู้ใช้งานที่สมัครเข้าร่วม Search Labs ได้ทดลองใช้งานในรูปแบบ Preview
- กรกฎาคม 2023 เพิ่มคุณสมบัติ Vertical experiences ให้กับ Search Generative Experience เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลในแนวตั้ง เช่น การช้อปปิ้ง การค้นหาสถานที่ หรือการจองตั๋ว เป็นต้น
- สิงหาคม 2023 เพิ่มคุณสมบัติ Code Tips และ Add To Sheets ให้กับ SGE เพื่อสามารถช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเขียนโค้ด และการจัดการข้อมูลบน Google Sheets
- กันยายน 2023 เพิ่มคุณสมบัติ SGE while browsing ที่จะช่วยสรุปเนื้อหาบนหน้าเว็บที่มีความยาวและซับซ้อน
- ตุลาคม – พฤศจิกายน 2023 : รออัปเดต.
- ธันวาคม 2023 คาดว่าจะสิ้นสุดการทดลองใช้งาน Google SGE บนเครื่องมือ Search Labs และจะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้
ฟีเจอร์ของ Google SGE มีอะไรบ้าง
ตั้งแต่การประกาศเปิดตัว Google SGE ครั้งแรกที่งาน I/O 2023 วันที่ 10 พฤษภาคม จนถึงปัจจุบัน (25/09/2566) ได้มีการปล่อยฟีเจอร์ออกมาให้ทดลองใช้กันบน Search Labs อย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ที่สมัครเข้าร่วมเอาไว้
แต่สำหรับคนทั่วไปอย่างเรา ที่ยังไม่ได้มีโอกาสทดลองใช้ Search Generative Experience ผมจึงหาข้อมูลและนำมาสรุปเพื่อให้คุณกับผม เข้าใจไปพร้อม ๆ กันตามนี้เลยครับ
AI-powered snapshots
เริ่มแรกด้วย AI-powered snapshots ที่เป็นคุณสมบัติการแสดงคำตอบของ Google SGE ที่เหมาะสมที่สุดด้วยการใช้ AI ทำความเข้าใจคำถามของผู้ใช้ เพื่อแสดงคำตอบให้เป็นไปตามความต้องการ ความสนใจ และความเหมาะสมมากที่สุด โดยใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
Google ตั้งเป้าหมายว่า คำตอบที่ได้จาก Search Generative Experience จะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ กระชับไม่ยืดยาว สามารถเข้าใจได้ง่าย และจะไม่ยึดคำตอบของเองเป็นที่สุด แต่จะสร้างคำตอบที่สามารถปูทางให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปศึกษาต่อ ตามลิงก์ของแหล่งอ้างอิงที่นำมาเสนอควบคู่กับคำตอบด้วยนั่นเองครับ
- ตัวอย่างการแสดงผล snapshots ที่แทรกลิงก์แหล่งที่มาของข้อมูลทั่วไป
- ตัวอย่างการแสดงผล snapshots ที่แสดงลิงก์แหล่งที่มาของข้อมูลแบบปุ่ม drop-down และแบบ Quotation ครับ
นอกจากการเพิ่มฟีเจอร์ SGE While browsing เข้ามาแล้ว ก็ยังได้เพิ่มคุณสมบัติ “definitions” เพิ่มเติมให้กับ AI-Powered snapshots อีกด้วย โดยเมื่อผู้ใช้ทำการค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ และเจอคำศัพย์เฉพาะของเรื่องนั้น ๆ แล้วไม่เข้าใจ คุณจะสามารถวางเมาส์เหนือคำนั้น ๆ เพื่ออ่านเนื้อหาขยายความ หรือดูรูปภาพที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณเข้าใจได้ครับ
Conversational mode
หลังได้คำตอบจาก Google SGE คุณยังสามารถกด “ask a follow up” เพื่อเปิดโหมดการสนทนาแบบถาม-ตอบ ด้วยการเลือกจากคำถามตัวอย่าง หรือถามต่อเนื่องด้วยการพิมพ์ เพราะ Search Generative Experience จะสามารถเข้าใจบริบทของคำถามคุณได้ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับคำถามหรือคำตอบก่อนหน้าอย่างไรบ้าง
รวมถึงการแสดงลิงก์ของแหล่งอ้างอิงที่อาจปรับเปลี่ยนตามไปด้วย จึงมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการค้นคว้าอะไรบางอย่างที่ซับซ้อน และต้องการแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
Vertical experiences
Vertical experiences คือคุณสมบัติการแสดงคำตอบของ Google SGE สำหรับกลุ่มธุรกิจ เพื่อการค้นหาในแนวตั้ง เช่น การช้อปปิ้ง หรือการค้นหาสถานที่ โดยจะเลือกแสดงข้อมูลที่สามารถช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น คำอธิบายผลิตภัณฑ์ การรีวิว การให้คะแนน ราคา และรูปภาพสำหรับการค้นหาสินค้าหรือสถานที่
โดย Search Generative Experience จะนำสินค้าที่อยู่ใน Shopping Graph ของ Google ขึ้นมาแสดง ที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีสินค้าครอบคลุมมากที่สุดในโลก (มากกว่า 3.5 หมื่นล้านรายการ) และยังสามารถรันผลการค้นหาได้แบบเรียลไทม์ตามการเปลี่ยนแปลงข้อมูลของสินค้านั้น ๆ ได้อีกด้วยครับ
Google SGE While browsing
ฟีเจอร์ช่วยสรุปเนื้อหาที่ยาวและซับซ้อนด้วยคุณสมบัติคล้ายที่กับ ChatPDF ด้วยการกรั่นเนื้อหาในแต่ละประเด็น ให้ออกมากระชับและเข้าใจง่ายที่สุดครับ อีกทั้งยังส่งลิงก์ให้สามารถคลิกไปอ่านเนื้อหาแบบเต็มได้โดยตรง ถัดลงมาจะเจอกับ “Explore on page” ที่จะแสดงคำถาม-คำตอบ เพื่อให้คุณเข้าใจเนื้อหาได้ครบถ้วนยิ่งขึ้นอีกด้วย
Advertisements
การโฆษณาด้วย Google Ads ในรูปแบบใหม่บน Search Generative Experience จะยังคงมีบทบาทสำคัญ ด้วยการทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่มีประโยชน์ต่อผู้ค้นหา การปรากฎของโฆษณาจะแสดงอยู่ในช่องที่กำหนดและเต็มตลอดหน้า
จึงคาดหวังได้ว่า ประสบการณ์โฆษณาในรูปแบบใหม่นี้ จะช่วยเพิ่ม Impression ให้กับเว็บไซต์และการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับฝั่งผู้ใช้งาน คุณยังสามารถแยกได้ว่าเว็บไซต์ไหนเป็นโฆษณา จากแถบที่ระบุไว้ว่า “Sponsored” ได้เหมือนเดิมครับ
Shopping + Advertisements
สำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ โฆษณาของสินค้าจะยังคงแสดงอยู่ที่ด้านบนสุด และมีแถบที่ระบุไว้ว่า “Sponsored” คล้ายกับการโฆษณาสินค้าในรูปแบบเดิม แต่ ผู้ใช้งานจะได้ผลลัพธ์ของสินค้าที่เจาะจงตอบโจทย์มากกว่า จากนั้นจะตามด้วยผลการค้นหาสินค้าแบบ Vertical experiences เมื่อเลื่อนถัดลงมา
Code Tips กับ Add to Sheets
- Code Tips : ฟีเจอร์สำหรับ Developer ที่ต้องการใช้ศักยภาพของ Search Generative Experience เพื่อช่วยให้การทำงานกับโค้ดสามารถทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถรองรับภาษาโค้ดดิ้งได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะ C, C++, Go, Java, Javascript, Kotlin, Python, TypeScript และยังมี Tools เช่น Docker, Git, shells หรืออัลกอริทึมต่าง ๆ อีกด้วย
- Add to Sheets : ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับ Google sheet โดยให้คุณสามารถแชร์ผลการค้นหาลงในสเปรดชีตกับเพื่อนได้ มีประโยชน์มากสำหรับการทำงานร่วมกับคนอื่น
Creativity
นอกจากการ search เพื่อหาข้อมูลที่มีอยู่แล้วนั้น ศักยภาพของ Google SGE ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ก็ยังสามารถที่จะสนทนากับผู้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ได้อีกด้วยครับ ว้าวว … Google เขาบอกว่าสามารถให้ช่วยเกี่ยวกับงานเขียนยาว ๆ จนถึงการเขียน e-book ได้เลยนะ น่าสนใจจริง ๆ
User experience
Google กล่าวว่า พยายามศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้อย่างหนักมานานหลายปี เพื่อที่จะออกแบบ UI ของ Google SGE (Search Generative Experience) ให้เข้าถึงได้ง่าย มีประโยชน์ และเป็นมิตรกับผู้ใช้มากที่สุด
สังเกตจากฟีเจอร์ AI-powered snapshots ที่สามารถปรับเปลี่ยน สี ของอินเตอร์เฟส (UI) ไปตามแต่ละการค้นหาได้แบบไดนามิก เพื่อสร้างการรับรู้ข้อมูลของผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ผลกระทบต่อการตลาดบนเว็บไซต์ (SEO)
การมาของ Google SGE (Search Generative Experience) ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราเรียกกันว่า AI มาช่วยสร้างประสบการณ์การค้นหารูปแบบใหม่ ถือว่าเป็นความท้าทายไม่น้อยเลยครับต่องานด้านการตลาดอย่างการทำ SEO
จึงเป็นไปได้ครับ ว่าจำนวนการคลิก กับ CTR จะลดลงเป็นแน่ เพราะการแสดงผล snapshots ของ SGE จะมาแย่งพื้นที่บนหน้าจอไประดับนึงเลย ซึ่งจะมากหรือน้อยแค่ไหนนั้น ไม่มีใครทราบได้ เป็นสาเหตุทำให้คนที่เริ่มทำ SEO มักวิตกกังวลว่าที่ทำมาจะสูญเปล่าใช่ไหม ?
แต่ แต่ แต่ … ผมจะบอกคุณอย่างนี้ครับว่า ปัจจุบัน จากการทดสอบบน Search Labs ของผู้ใช้ทวิตเตอร์ Cyrus เปิดเผยออกมาว่าการค้นหาด้วย Google SGE บางประเภท AI เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามครับ ทำให้ Search intent บางประเภท ยังจำเป็นต้องคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์อยู่นั่นเอง – https://twitter.com/cyrusshepard/status/1663616157851729921?s=46&t=xyHFF3kXQetsabxqQTjMcg
การทำ SEO จะต้องปรับตัวอย่างไร
ขอตอบแบบชัดถ้อยชัดคำอีกครั้งครับ ว่าการทำ SEO “ยังจำเป็นมาก” เพราะการตอบคำถามของ Google SGE นั้นยังต้องการข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดอยู่เสมอครับ และ Google ก็พร้อมยินดีที่จะนำเสนอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพควบคู่กับคำตอบนั้นไปด้วย และถ้าคุณอยากให้ Search Generative Experience นำเนื้อหาของคุณขึ้นไปแสดงที่ snapshots ผมสามารถแนะนำ 3 อย่างให้คุณเตรียมพร้อมได้ ดังนี้
- เนื้อหาจะต้องมีคุณภาพสูง และมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ได้จริง เพราะ Google จะยังคงใช้หลักเกณฑ์ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ด้วย E-E-A-T Factor อยู่ครับ ความหมายคือ ถ้าเว็บของคุณติดอันดับสูง ก็มีโอกาสมากเช่นกันที่ AI จะนำข้อมูลจากเว็บคุณขึ้นไปแสดง
- เขียนเนื้อหาที่สดใหม่ ไม่ซ้ำใคร และครอบคลุมประเด็นให้มากที่สุด แค่ติดอันดับสูงนั้นยังไม่พอครับ เพราะการมาของ Google SGE ที่สามารถค้นหาข้อมูลได้เหมือนคุยกับเพื่อนแบบนี้ ผมคิดว่าพฤติกรรมของผู้ใช้มีแนวโน้มสูงที่จะ Search ด้วย Long-Tail Keyword มากกว่าการค้นหาด้วยคำสั้น ๆ ครับ การเตรียมเนื้อหาให้ครอบคลุม จะช่วยให้คุณมีข้อมูลรองรับการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงของผู้ใช้นั่นเอง
- ชัดเจน กระชับ และน่าเชื่อถือได้ เพราะผมไม่อยากให้คุณเข้าใจว่า จะต้องเขียนให้ยาวไว้ก่อนเพียงเท่านั้น แต่คุณควรเขียนให้เนื้อหามีความชัดเจน กระชับไม่ยืดเยื้อ และเสริมความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลของคุณด้วยการทำ External Link กับการทำ Backlink ด้วยครับ
สรุป
สรุปแล้ว Google SGE หรือ Search Generative Experience ก็คือเทคโนโลยีการค้นหาใหม่จาก Google ที่จะมาช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ตรงประเด็น และได้คำตอบที่ดีที่สุด ที่เบื้องหลังคือการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ LLM หรือ Large Language Model ด้วยการทำ Machine Learning และ Natural Language Processing หรือ NLP เพื่อให้ AI สามารถเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เสมือนคุยกับคนจริง ๆ เลยครับ
Search Generative Experience ถูกออกแบบมาอย่างดี เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีประโยชน์ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยใช้ AI มาก่อนเลยก็ตามครับ เพียงพิมพ์สิ่งที่อยากรู้ในช่องค้นหา Google SGE ก็พร้อมที่จะสร้างคำตอบที่เหมาะสมที่สุดให้อย่างรวดเร็ว
นอกจากการใช้ค้นหาข้อมูลทั่วไป สิ่งที่ทำให้ Google SGE แตกต่างจาก Google search ก็คือ “ความคิดสร้างสรรค์” นั่นเอง เช่นเดียวกับ ChatGPT, Bard หรือ AI ค่ายอื่น ๆ SGE ก็สามารถที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับงานเขียน คิดไอเดีย วางแผน จนถึงการเป็นผู้ช่วย Developer เกี่ยวกับงานโค้ดดิ้ง ได้เลยนั่นเองครับ